วันศุกร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

ครูบาอริยชาติ กับการเข้านิโรธกรรม



ครูบาอริยชาติ กับการเข้านิโรธกรรม




ครูบาอริยชาติ ได้ปฏิบัติตามแบบของโบราณจารย์ในสายครูบาเจ้าศรีวิชัยนักบุญแห่ง ล้านนา ในสมัยที่ครูบาชุ่ม โพธิโก  อดีตเจ้าอาวาสวัดวังมุยยังมีชีวิตอยู่นั้น  สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ครูบาชุ่มจะปฏิบัติคือ  การเข้านิโรธสมาบัติซึ่งได้กระทำตามแบบอย่างของนักบุญแห่งล้านนาครูบาศรี วิชัย  ซึ่งในเวลาต่อมาครูบาอริยชาติ ได้พบตำราปั๊บสา  เป็นบันทึกการเข้านิโรธกรรมของครูบาชุ่มที่คัดมาจากครูบาศรีวิชัย  อันมีใจความสำคัญในบันทึกถึงการปฏิบัติโดย เน้นธุดงค์วัตรสิบสาม และการเข้านิโรธกรรมที่ไม่เหมือนผู้ใดคือ  เป็นการทำแบบลำบาก    การกระทำนิโรธกรรมตามแบบฉบับของครูบาชุ่ม โพธิโกนี้  ท่านให้ขุดหลุมลึกศอกกว้างสองศอกพอดีเข่า แล้วสร้างซุ้มฟางครอบให้มีความสูงแค่เลยหัวหนึ่งศอก โดยจะยืนไม่ได้ ไม่ฉัน ไม่ถ่ายหนักเบา ฉันแต่น้ำโดยมีผ้าขาวปูสี่ผืนรองนั่ง แทนความหมายคือ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค  มีเสาซุ้ม 8 ต้น แทนความหมายมรรคแปด  ยอดซุ้มปักธงฉับพรรณรังษี อันมีความหมายถึง ปัญญา  ราชวัตรล้อมซุ้มมี 9 ชั้น แทนความหมายของนวโลกุตรธรรมเก้า คือ มรรคสี่ ผลสี่ นิพพานหนึ่ง รวมเป็นเก้า  ซึ่งการกระทำนิโรธกรรมของท่านบางครั้งจะเข้าอยู่ 7 วันหรือ 9 วัน  ส่วนใหญ่จะเข้าตามสถานที่ห่างไกลคนสัปปายะ  โดยมีชาวบ้านจัดเวรยามรักษาในรัศมี 100 เมตร เพื่อป้องกันการรบกวนซึ่งก่อนที่จะทำการเข้านิโรธกรรมนั้นจะต้องมีพระสงฆ์จำนวน 5 รูป  เป็นผู้รับรองความบริสุทธิ์  ซึ่งครูบาอริยชาติได้เล่าว่า  การกระทำนิโรธกรรมของท่านนั้น  กระทำตามแบบอย่างครูบาอาจารย์รุ่นเก่าเช่น  ครูบาชุ่ม โพธิโก  อีกประการท่านต้องการความสงบ เป็นการทำด้วยจิตมิใช่การแสวงหาลาภผลใดๆ
จน ต่อมาในบรรดาศิษยานุศิษย์ของท่านจะต้องเฝ้ารอว่าเมื่อใดท่านจะกระทำนิโรธรรม เพราะในความเชื่อของชาวพุทธ  เราจะเชื่อกันว่าในยามใดที่มีพระสงฆ์กระทำนิโรธกรรม และเมื่อได้ออกจากนิโรธกรรมแล้ว  เมื่อได้มาพบเจอและได้ทำบุญกับพระที่กระทำนิโรธกรรมนั้น จะมีผลบุญอันยิ่งใหญ่  หากอธิฐานของสิ่งใดก็จะประสบผลทุกประการ  ดังนั้นในปีใดที่ครูบาอริยชาติได้เข้านิโรธกรรม และเมื่อออกจากนิโรธกรรมจะมีประชาชนจำนวนมาก เรือนหมื่นมารอรับและทำบุญกับท่าน

ขอบคุณข้อมูลจาก mongkoltep.igetweb.com