วันจันทร์ที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

จตุคามรามเทพ (1) รุ่นยอดนิยม-นักสะสมเก็บ

จตุคามฯรุ่นแรกพิมพ์ใหญ่


จาก วัตถุมงคลทรงกลมๆ ใหญ่ๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก รุ่นแรกอุบัติขึ้นเมื่อปี 2530 เรียกกันทั่วไปว่า "พระผงสุริยันจันทรา" แต่มาโด่งดังเป็นที่รู้จักกันในนาม "จตุคามรามเทพ" ปัจจุบันพิมพ์ใหญ่สภาพสวยๆสนนราคาเล่นหาองค์ละเป็นล้าน ส่วนพิมพ์เล็กรั้งราคาหลักแสน ของเก๊ของปลอมก็มีสร้างออกมาทดสอบสายตานักสะสมจำนวนมาก ด้วยจำนวนของแท้รุ่นแรกมีไม่เพียงพอกับความต้องการ จตุคามรามเทพรุ่นใหม่จึงทยอยสร้างออกมาอย่างต่อเนื่องรุ่นแล้วรุ่นเล่านับ พันรุ่น


หลังจากนั้นกระแสความนิยมก็เบาบางลง

ประวัติความเป็นมาของ "องค์ท้าวจตุคามรามเทพ" ตั้งแต่แรกๆ นั้น ยังไม่ค่อยหนาหูนักสะสม แต่ต่อมาถูกกล่าวขานร่ำลือแพร่ขยายออกไปในกลุ่มบุคคลต่างๆ มากขึ้น และเป็นที่ยอมรับเคารพกราบไหว้เกือบทั่วประเทศในลักษณะและเข้าใจว่าเทพผู้มี ความเมตตา ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ความที่พึงขอได้ มาอย่างง่ายเป็นอัศจรรย์

จนเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า "ขอได้-ไหว้รับ"

เดิมก่อนมีการกำเนิดหลักเมืองนครศรีธรรมราชให้กราบไหว้อยู่ในปัจจุบัน และเป็นที่มาของวัตถุมงคลจตุคามรามเทพรุ่นแรก ปี 2530 ในตอนนั้นมีความพยายามหาที่พึ่งพิงทางด้านจิตใจให้กับชาวนครศรีธรรมราช จึงมีความพยายามจะสรรหาองค์เทพประจำศาลหลักเมือง ของทีมงานคณะผู้จัดสร้าง


จตุคามฯรุ่นแรกพิมพ์เล็ก



สิ่งหนึ่งที่เล็งตามความเชื่อคือ ต้องหา ร่างทรง เป็นผู้ชี้แนะชี้นำ

บุคคลที่ถูกเอ่ยถึงในขณะนั้น เบอร์หนึ่งที่ถูกวางตัวไว้ "โกผ่อง-นายอะผ่อง สกุลอมร" เพราะเป็นคนทรงเจ้าอยู่เป็นประจำ จุดประสงค์เพื่อถามหาองค์เทพนำมาสถิตที่ศาลหลักเมืองแห่งนี้

การเชิญโกผ่องมาทรงเจ้านั้น ว่ากันว่าในทีมคณะผู้จัดสร้างศาลหลักเมืองมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ จนกระทั่งมีการลองของกันเกิดขึ้น ทั้งบุหรี่และไฟจี้ไปที่ร่างทรง แต่สิ่งนั้นก็ไม่ทำให้ร่างทรงเป็นแผลหรือพุพองแต่ประการใด ส่งผลทำให้เกิดการยอมรับในที่สุด

โกผ่องเชิญเทพประทับทรงอยู่หลายองค์ แต่ชื่อที่เอ่ยมานั้นไม่มีระบุในประวัติศาสตร์ของเมืองนครศรีธรรมราชมาก่อน เลย จนกระทั่งมีเทพองค์หนึ่งมาประทับ หนึ่งในคณะผู้จัดสร้างศาลหลักเมืองก็ถาม ท่านมีนามว่าอะไร? เทพในร่างทรงไม่ยอมบอก แต่ขอกระดาษและปากกามาวาดรูปให้ดู

แล้วเอ่ยขึ้นว่า ถ้าพวกเอ็งอยากรู้ว่าเป็นใคร ก็เอารูปวาดไปให้อ้ายหนวดดู ซึ่งคำว่าอ้ายหนวดทุกคนรู้ทันทีว่าเป็นใคร จุดมุ่งหมายจึงตรงไปที่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ฆราวาสจอมขมังเวท ผู้มีอาคมขลัง ผู้หลักผู้ใหญ่ของชาวนครศรีธรรมราช

พอท่านขุนพันธ์เห็นรูป ก็เอ่ยนามขึ้นทันที นี่คือรูปของ ท้าวจตุคามรามเทพ อดีตกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ผู้ปกครองนครศรีวิชัย-สุวรรณภูมิ เมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีมาแล้ว


เมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้มีการศึกษาประวัติ และตำนานต่างๆ รู้พอเข้าใจได้ว่า ท้าวจตุคามรามเทพ หรือองค์ราชัน หรือองค์พ่อ เป็นองค์เทวราชโพธิสัตว์ ผู้ปกปักรักษาอาณาจักรศรีวิชัยมาแต่ครั้งโบราณ เป็นผู้ดูแลพระบรมสารีริกธาตุที่วัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช

กล่าวกันว่าท่านมีทหารกล้า 4 คน ประกอบด้วย พญาชิงชัย พญาหลวงเมือง พญาสุขุม พญาโหรา เป็นกำลังหลักในการต่อสู้ปราบปรามผู้ที่ปกครองเมืองตามพรลิงค์อยู่ก่อน

หลังจากได้รับชัยชนะได้จัดสร้างพระบรมธาตุ สถาปนาเมือง 12 นักษัตร หรือกรุงศรีธรรมโศก สืบสานพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงบนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จนได้รับการเทิดพระเกียรติให้เป็น พญาศรีธรรมาโศกราช และต่อมายังทรงเป็นพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ซึ่งคอยดูแลพระบรมสารีริกธาตุที่วัดพระบรมธาตุ จ.นครศรีธรรมราช

ก่อนจะมีการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อปี 2530 มีการกล่าวกันว่า เมืองแห่งนี้ถูกต้องคำสาปมายาวนาน หากไม่มีการสร้างศาลหลักเมืองและจัดพิธีกรรมต่างๆ ขึ้น ทุกอย่างจะไม่ถูกการปลดปล่อย และบ้านเมืองอาจลุกเป็นไฟในที่สุด

องค์จตุคามรามเทพเท่านั้นที่จะช่วยได้ และหลักเมืองก็ต้องทำมาจากไม้ตะเคียนทองงอกอยู่ทางทิศเหนือของเมืองนครศรีธรรมราชเท่านั้น

วันศุกร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

ครูบาอริยชาติ กับการเข้านิโรธกรรม



ครูบาอริยชาติ กับการเข้านิโรธกรรม




ครูบาอริยชาติ ได้ปฏิบัติตามแบบของโบราณจารย์ในสายครูบาเจ้าศรีวิชัยนักบุญแห่ง ล้านนา ในสมัยที่ครูบาชุ่ม โพธิโก  อดีตเจ้าอาวาสวัดวังมุยยังมีชีวิตอยู่นั้น  สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ครูบาชุ่มจะปฏิบัติคือ  การเข้านิโรธสมาบัติซึ่งได้กระทำตามแบบอย่างของนักบุญแห่งล้านนาครูบาศรี วิชัย  ซึ่งในเวลาต่อมาครูบาอริยชาติ ได้พบตำราปั๊บสา  เป็นบันทึกการเข้านิโรธกรรมของครูบาชุ่มที่คัดมาจากครูบาศรีวิชัย  อันมีใจความสำคัญในบันทึกถึงการปฏิบัติโดย เน้นธุดงค์วัตรสิบสาม และการเข้านิโรธกรรมที่ไม่เหมือนผู้ใดคือ  เป็นการทำแบบลำบาก    การกระทำนิโรธกรรมตามแบบฉบับของครูบาชุ่ม โพธิโกนี้  ท่านให้ขุดหลุมลึกศอกกว้างสองศอกพอดีเข่า แล้วสร้างซุ้มฟางครอบให้มีความสูงแค่เลยหัวหนึ่งศอก โดยจะยืนไม่ได้ ไม่ฉัน ไม่ถ่ายหนักเบา ฉันแต่น้ำโดยมีผ้าขาวปูสี่ผืนรองนั่ง แทนความหมายคือ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค  มีเสาซุ้ม 8 ต้น แทนความหมายมรรคแปด  ยอดซุ้มปักธงฉับพรรณรังษี อันมีความหมายถึง ปัญญา  ราชวัตรล้อมซุ้มมี 9 ชั้น แทนความหมายของนวโลกุตรธรรมเก้า คือ มรรคสี่ ผลสี่ นิพพานหนึ่ง รวมเป็นเก้า  ซึ่งการกระทำนิโรธกรรมของท่านบางครั้งจะเข้าอยู่ 7 วันหรือ 9 วัน  ส่วนใหญ่จะเข้าตามสถานที่ห่างไกลคนสัปปายะ  โดยมีชาวบ้านจัดเวรยามรักษาในรัศมี 100 เมตร เพื่อป้องกันการรบกวนซึ่งก่อนที่จะทำการเข้านิโรธกรรมนั้นจะต้องมีพระสงฆ์จำนวน 5 รูป  เป็นผู้รับรองความบริสุทธิ์  ซึ่งครูบาอริยชาติได้เล่าว่า  การกระทำนิโรธกรรมของท่านนั้น  กระทำตามแบบอย่างครูบาอาจารย์รุ่นเก่าเช่น  ครูบาชุ่ม โพธิโก  อีกประการท่านต้องการความสงบ เป็นการทำด้วยจิตมิใช่การแสวงหาลาภผลใดๆ
จน ต่อมาในบรรดาศิษยานุศิษย์ของท่านจะต้องเฝ้ารอว่าเมื่อใดท่านจะกระทำนิโรธรรม เพราะในความเชื่อของชาวพุทธ  เราจะเชื่อกันว่าในยามใดที่มีพระสงฆ์กระทำนิโรธกรรม และเมื่อได้ออกจากนิโรธกรรมแล้ว  เมื่อได้มาพบเจอและได้ทำบุญกับพระที่กระทำนิโรธกรรมนั้น จะมีผลบุญอันยิ่งใหญ่  หากอธิฐานของสิ่งใดก็จะประสบผลทุกประการ  ดังนั้นในปีใดที่ครูบาอริยชาติได้เข้านิโรธกรรม และเมื่อออกจากนิโรธกรรมจะมีประชาชนจำนวนมาก เรือนหมื่นมารอรับและทำบุญกับท่าน

ขอบคุณข้อมูลจาก mongkoltep.igetweb.com